สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2: แนวร่วมการปลดปล่อยฝรั่งเศส ของ ชาร์ล_เดอ_โกล

ชาร์ล เดอ โกล สมัยสงครามโลกครั้งที่สองชาร์ล เดอ โกล ประมาณปี พ.ศ. 2485

ในวันที่ 18 มิถุนายน เดอ โกล เตรียมตัวที่ปราศรัยแก่คนฝรั่งเศสผ่านทางวิทยุ BBC ในกรุงลอนดอน คณะรัฐมนตรีของอังกฤษได้พยายามบล็อกคำปราศรัยครั้งนั้นแต่วินสตัน เชอร์ชิลล์ก็ได้ยับยั้งมติคณะรัฐมนตรีไว้ได้ ในประเทศฝรั่งเศส เดอ โกล คำอุทธรณ์ 18 มิถุนายน (Appel du 18 Juin) น่าจะเป็นที่ได้ยินของคนทั้งชาติในเย็นวันนั้น แต่ในความจริงแล้วมีเพียงเล็กน้อยที่ได้ยินเท่านั้น เดอ โกลยังไม่เป็นที่รู้จักกันในประเทศฝรั่งเศสเวลานั้น และคำปราศรัยของเขานั้นเป็นเหมือนความเพ้อฝันเสียมากกว่า วลีที่ว่า ฝรั่งเศสแพ้จากการรบ แต่ยังมิได้แพ้สงคราม นั้นได้พบอยู่บนโปสเตอร์ทั่วสหราชอาณาจักร และถูกโยงไปอย่างผิด ๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำปราศรัยทาง BBC แต่อย่างไรก็ตามวลีดังกล่าวก็ได้เห็นความตั้งใจแน่วแน่ของชาร์ล เดอ โกล เขาเองมีส่วนร่วมในการต่อต้านการบุกรุกของเยอรมันและได้ประกาศว่า ไฟการต่อต้านของฝรั่งเศสจะไม่ดับลง แต่ เดอ โกลก็ได้อ้างถึงการต่อต้านของทหารแต่เมื่อทหารชาวฝรั่งเศสส่วนมากนึกได้ว่าตนเองไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่สามารถชนะสงครามได้แล้ว จึงต่อต้านศีลธรรมแทน ทำให้เดอ โกล มีความผิดหวังอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

มีชาวฝรั่งเศสไม่มากนักที่ได้ยินคำปราศรัยของเดอ โกลในวันนั้นเพราะวิทยุ BBC ไม่ใคร่จะเป็นที่ได้ยินในประเทศฝรั่งเศสและชาวฝรั่งเศสกว่าล้านคนเป็นผู้ลี้ภัยด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตามใจความสำคัญของคำปราศรัยครั้งนั้นได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสในวันต่อมาบริเวณทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส (ซึ่งยังมิได้โดนยึด) และคำปราศรัยนั้นยังได้เปิดซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาหลายวันทาง BBC และ เดอ โกล เองก็ได้ปราศรัยเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา

คำปราศรัยของเดอ โกลในวันที่ 22 มิถุนายนทาง BBC สามารถฟังได้ที่นี่ หรือใจความสำคัญของคำปราศรัยอื่น ๆ และสำเนาโปสเตอร์ตั้งแต่ มิถุนายน พ.ศ. 2483 หาได้จากที่นี่

ในไม่ช้า ท่ามกลางความวุ่นวาย งุนงง และยุ่งเหยิงของประเทศฝรั่งเศส ข่าวที่ว่ามีนายพลชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในกรุงลอนดอนได้ปฏิเสธที่จะยอมแพ้หรือสงบศึกกับเยอรมนีและได้ประกาศว่าสงครามยังดำเนินต่อไป ได้กระจายจากปากสู่ปาก และจนวันนี้คำปราศรัยของเขานั้นเป็นที่จดจำและโด่งดังที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส

ในลอนดอน ชาร์ล เดอ โกล ได้ก่อตั้งและดำเนินการแนวร่วมการปลดปล่อยฝรั่งเศส ในขณะที่สหรัฐอเมริกาให้การยอมรับรัฐบาลวิชีฝรั่งเศสแต่สหราชอาณาจักร รัฐบาลของวินสตัน เชอร์ชิลล์ให้การสนับสนุนชาร์ล เดอ โกล ทั้ง ๆ ที่รักษาระดับความสัมพันธ์กับรัฐบาลวิชีฝรั่งเศสอยู่

ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2483 ศาลทหารในเมืองตูลูซ ได้ตัดสินให้ชาร์ล เดอ โกล (โดยที่เจ้าตัวไม่อยู่) จำคุกเป็นเวลา 4 ปี และการตัดสินครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2483 ได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิต เนื่องจากทรยศและทำการกบฏต่อรัฐบาลวิชีฝรั่งเศส

ในการปฏิบัติต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกานั้น เขายืนหยัดตลอดเวลาในการยืนหยัดสิทธิเสรีภาพในฐานะตัวแทนคนฝรั่งเศส แต่บ่อยครั้งที่เขาถูกฝ่ายสัมพันธมิตรลืม เขาอาศัยอยู่ด้วยความระแวงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อสหราชอาณาจักรเพราะเขาเชื่อว่าสหราชอาณาจักรพยายามหาทางที่จะยึดเอาเลอวองต์จากฝรั่งเศสอย่างลับ ๆ เคลมองทีน เชอร์ชิลล์ ภรรยาเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ผู้ซึ่งชื่นชมในตัวเดอ โกล ได้เคยเตือนเขาไว้ว่า อย่าเกลียดพันธมิตรมากกว่าศัตรู แต่เดอ โกลก็ได้ตอบกลับไปว่า ฝรั่งเศสไม่มีเพื่อน มีแต่หุ้นส่วน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวมีความซับซ้อน เดอ โกลเองก็ไม่ไว้วางใจจุดประสงค์ของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากนักการเมืองระดับสูงของสหรัฐอเมริกานั้นไม่ไว้วางใจแนวร่วมปลดปล่อยฝรั่งเศสของชาร์ล เดอ โกล และเป็นประเทศหนึ่งที่ปฏิเสธในการยอมรับแนวร่วมปลดปล่อยฝรั่งเศสและชาร์ล เดอ โกลในฐานะตัวแทนประเทศฝรั่งเศส ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกาก็ยังได้ให้การยอมรับรัฐบาลวิชีฝรั่งเศสแทน

หลายครั้งที่คนได้วิจารณ์การทำงานร่วมกันของเดอ โกลและเชอร์ชิลล์อย่างผิด ๆ เช่น "จากไม้กางเขนทั้งหมดที่ข้าพเจ้าดูแล ไม้กางเขนแห่งลอแรนป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเป็นที่สุด" (ไม้กางเขนแห่งลอแรนป็นสัญลักษณ์ของแนวร่วมการปลดปล่อยฝรั่งเศส) ซึ่งคำเหน็บแหนมดังกล่าว แท้จริงแล้ว ทูตอังกฤษที่ส่งไปยังฝรั่งเศส พลตรี เซอร์ หลุยส์ สเปียส์ เป็นคนพูดต่างหาก

บางครั้งในภาวะตึงเครียด กล่าวกันว่า เชอร์ชิลล์ได้เคยพูดเป็นภาษาฟร็องแกล (ภาษาฝรั่งเศส + ภาษาอังกฤษ / français + anglais) ว่า Si vous ne co-operatez, je vous obliterai ซึ่งแปลว่า ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือ ผมจะทำลายคุณซะ

เขาได้ทำงานร่วมกับกลุ่มการต่อต้านของฝรั่งเศสและผู้สนับสนุนการครอบครองเมืองขึ้นฝรั่งเศสบริเวณแอฟริกา ต่อมาหลังภารกิจ Operation Torch ที่ทหารอังกฤษและอเมริกันยกพลบุกเมืองขึ้นฝรั่งเศสในแอฟริกาเหนือในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2485 (เมืองขึ้นฝรั่งเศสขณะนั้นภายใต้รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวีชี) ชาร์ล เดอ โกลได้ย้ายกองบัญชาการไปยังเมืองแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรียในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2486 หลังจากนั้นเดอ โกลก็ได้เป็นประธานร่วม (ร่วมกับพลเอกอ็องรี ชีโรด์ ซึ่งสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน) และภายหลังเป็นประธานคณะกรรมมาธิการปลดปล่อยแห่งชาติ (คนเดียว)

ระหว่างภารกิจการปลดปล่อยฝรั่งเศสนั้น ทหารอังกฤษและอเมริกันก็ได้ยกพลขึ้นผืนแผ่นดินใหญ่ที่ประเทศฝรั่งเศสในภารกิจ Operation Overlord หรือเป็นที่คุ้นหูในนาม "การรบแห่งนอร์ม็องดี" เดอ โกลก็สถาปนาแนวร่วมการปลดปล่อยฝรั่งเศสในผืนแผ่นดินใหญ่ฝรั่งเศส หลีกเลี่ยง รัฐบาลทหารสัมพันธมิตรเพื่อครอบครองดินแดน (AMGOT) เขาได้นั่งเครื่องบินจากประเทศแอลจีเรียมายังฝรั่งเศสก่อนการเป็นเสรีภาพของกรุงปารีส และได้เคลื่อนที่เข้าไปบริเวณแนวหน้าใกล้ ๆ เมืองหลวงพร้อมกับทหารสัมพันธมิตร เขาได้กลับไปยังกรุงปารีสในไม่ช้า และก็ได้กลับเข้าทำงานในกระทรวงระหว่างสงคราม และก็ได้ประกาศว่าสาธารณรัฐที่ 3 ยังคงอยู่ต่อไปและปฏิเสธการปกครองของวิชีฝรั่งเศส

เดอ โกลได้เป็นประธานคณะรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (GPRF) เริ่มในเดือนกันยายน พ.ศ. 2487 เขาได้ส่งหน่วยปฏิบัติการฝรั่งเศสนอกประเทศแห่งตะวันออกไกล (Corps Expéditionnaire Français en Extrême-Orient, CEFEO) เพื่อที่จะสถาปนาอำนาจในภูมิภาคอินโดจีนฝรั่งเศสขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2488 และได้แต่งตั้งพลเรือเอกดาร์ชองลีอู เป็นผู้บัญชาการอินโดจีนฝรั่งเศส และจอมพลเลอเคลิร์กเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในอินโดจีนฝรั่งเศสและบังคับบัญชาหน่วยปฏิบัติการฝรั่งเศสนอกประเทศแห่งตะวันออกไกล

ภายใต้การนำของชาร์ล เดอ โกล ผู้ที่ได้ทำการต่อต้านและต่อสู้เพื่อฝรั่งเศสมาก่อนหน้านี้แล้วนั้น (ส่วนมากเป็นทหารจากเมืองขึ้นฝรั่งเศส) สามารถเคลื่อนกองทัพ ๆ หนึ่งของฝรั่งเศสในบริเวณแนวตะวันตกได้ โดยการกระทำภารกิจยกพลขึ้นทางตอนใต้ของฝรั่งเศส (Operation Dragoon) ซึ่งสามารถทำให้ 1 ใน 3 ของประเทศฝรั่งเศสเป็นเสรีจากกองทัพเยอรมันได้ ทหารกลุ่มนี้เรียกว่า กองทัพฝรั่งเศสกลุ่มแรก ทำให้กองทัพฝรั่งเศสนั้นได้เข้าร่วมในการต่อสู้กับเยอรมนีทางทหารพร้อมเพรียงกับทหารอังกฤษโดยปริยาย และยังได้ยึดดินแดนที่กองทัพเยอรมันครอบครองไว้คืนมาอีกด้วย และนี่ส่งผลไปถึงการที่ฝรั่งเศสมีส่วนร่วมในสนธิสัญญาการยอมแพ้ของเยอรมนีด้วย มากกว่านั้นฝรั่งเศสยังมีโอกาสที่จะควบคุม 1 ใน 4 ส่วนของประเทศเยอรมนีหลังสงครามอีกด้วย (พร้อมกับ สหราชอาณาจักร รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา)

เดอ โกลได้ลาออกเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2489 ด้วยการตำหนิว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ ว่ามีความขัดแย้งกันเองและไม่รับรองรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 4 ซึ่งเขาเชื่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อำนาจรัฐสภามากเกินไป พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงพันธมิตรของพรรคการเมือง คนที่ได้รับตำแหน่งต่อจากเขาคือ เฟลิกซ์ กวง (SFIO), ต่อมาคือ ฌอร์ฌ บีโด (MRP) และสุดท้ายคือ เลอง บลูม (SFIO)

ใกล้เคียง

ชาร์ลี แชปลิน ชาร์ลี พูท ชาร์ลี เอ็กซ์ซีเอ็กซ์ ชาร์ล เดอ โกล ชาร์ลีซ เทรัน ชาร์ลี กับ โรงงานช็อกโกแลต ชาร์ลอตต์ แฟลร์ ชาร์ล เลอแกลร์ ชาร์ล็อทเทอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ ชาร์ลอตต์